เอดส์ รวมข้อมูลเอดส์ที่น่าสนใจ อ่านกันได้ที่นี่

ไปดูดนมมา จะติดเอดส์ไหม xxx เอดส์ ข้อมูลดีๆ เปอร์เซ็นต์+โอกาสในการติดเอดส์จากการเอาสาว ออน.เเบบไหนเสี่ยงมากน้อย xxx HIV คือ อะไร เอดส์คืออะไร ติดต่อกันอย่างไร เอดส์แพร่กระจายไปได้อย่างไร เด็กรับเชื้อ HIV จากแม่อย่างไร HIV จากแม่สู่ลูก ยาต้านไวรัส HIV คืออะไร ทำไมต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส อาการข้างเคียงและการแพ้ยาต้านไวรัสเป็นอย่างไร ทำอย่างไรเมื่อการรักษาด้วยยาต้านไวรัสไม่ได้ผล นำข้อมูลมาฝากกันแล้วครับ xxx เอดส์ การติดต่อ และ ไม่ติดต่อ xxx เอดส์ อย่างนี้…จะติดเอดส์ไหม รวมข้อมูลเอดส์อ่านกันได้ที่นี่ เพื่อคนไทยห่างไกลเอดส์จ้า

xxx ไปดูดนมมา จะติดเอดส์ไหม xxx คำเตือนสำหรับผู้ชายที่ไม่เคยกินนมผู้หญิงมาก่อน โปรดระวังเพราะมันหวานและอร่อยมาก อาจจะลืมตัวได้เหมือนผมนะครับ

ถาม เมื่อคืนไปเที่ยวอาบอบนวดมา แล้วไปดูดนมหมอนวดแม่ลูกอ่อนมา เห็นนมใหญ่ดีเลยใช้บริการซะเลย ผมดูดกินเยอะเหมือนกัน ไปเจอจังหวะนมคัดพอดี เธอให้ผมดูดจนหมดชั่วโมง ผมเลยไม่ได้นอนกับเธอเลย ได้แต่ดูดนมอย่างเดียว ถามเธอว่าติดเชื้อหรือเปล่า เธอบอกว่าไม่มี อีตอนนั้นก็อยากดูดเสียด้วย ตอนเช้าคิดๆดูก็น่ากลัวเหมือนกัน อย่างนี้จะติดเชื้อเอดส์หรือเปล่าครับ???

ไปดูดนมมา จะติดเอดส์ไหม
ไปดูดนมมา จะติดเอดส์ไหม

ตอบ1 เอดส์จากหมอนวด (สู่คุณ)
เอกสารทางการแพทย์หลายฉบับคัดลอกมาเพียงบางส่วนรายงานและให้คำแนะนำไว้ว่า กรณีเป็นเด็ก (หรือคุณ) อาจติดเชื้อจากนมแม่ (คุณก็นมหมอนวด)ได้ โดยผ่านทางนมและทางเดินอาหาร ช่วงนี้เป็นสาเหตุการติดเอดส์ร้อยละ 20 ดูดนานเกินไปยิ่งเสี่ยงต่่อเอดส์มากขึ้น เพราะในนมมนุษย์มีไขมัน สารคัดหลั่ง โปรทีน และอื่นๆ อีกมากมาย 3 เดือนหลังจากนี้ลองไปตรวจเลือดดูว่ามีอะไรแปลกปลอมเพิ่มมาในร่างกายเราเปล่า ขอให้โชคดี

ตอบ2 ช่วงที่เด็กอาจติดเอดส์จากแม่ได้ คือ การผ่านจากน้ำนมแม่เข้าสู่ปาก และทางเดินอาหารของลูก ช่วงนี้พบเป็นสาเหตุของการติดเอดส์ ในประมาณร้อยละ 20 ในทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่ พบว่า ยิ่งดูดนมแม่นานจะยิ่งติดเอดส์มากขึ้น

การป้องกันการติดเอดส์ในช่วงนี้คือ การใช้นมผงเลี้ยงลูก แทนนมแม่ตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นวิธีที่ประเทศที่พัฒนาแล้วใช้กัน รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลดอัตราการติดเอดส์จากแม่ เดิมที่เคยติดร้อยละ 25-30 ลงมาเหลือเพียงร้อยละ 18-20 หลังจากแนะนำ ให้เลิกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่การเลี้ยงลูกด้วยนมผงไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะทำได้เสมอไป ในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศที่ยากจนในแถบแอฟริกา เพราะถ้าแนะนำไม่ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจมีทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ เอดส์ (ซึ่งตัวเองอาจไม่ติดเอดส์ก็ได้) จำนวนมาก ตายจากโรคขาดอาหาร หรือโรคท้องร่วงจากอุปกรณ์การชงนมที่ไม่สะอาดก็ได้ ………

ข้อมูลวิชาการจาก http://www.elib-online.com/doctors/std_aids02.html

ตอบ3 เนื่องจากการดูดนมแม่ ในน้ำนมมีเชื้อเอชไอวีไม่มาก แต่มีความเสี่ยงในการรับเชื้อเนื่องจากปริมาณที่เด็กได้รับนมมีจำนวนมาก และเยื่อบุทางเดินอาหารไม่แข็งแรง โดยทั่วไปทารกที่เกิดจากแม่ติดเชื้อจะมีโอกาสได้รับเชื้อประมาณร้อยละ 25-30 อัตราการติดเชื้อดังกล่าวสามารถลดลงเหลือร้อยละ 2-8 ถ้ามารดาได้รับยาต้านไวรัสในระยะใกล้คลอด และเด็กได้รับต่อ 1-6 สัปดาห์ร่วมกับการให้นมผสมแทนนมแม่ ……
……การที่เชื้อเอชไอวีจะเข้าสู่ร่างกายได้จะต้องประกอบด้วยทั้ง 3 ปัจจัย ดังนี้

มีแหล่งที่อยู่ของเชื้อเอชไอวีหรือได้สัมผัสเชื้อ ซึ่งเชื้อจะอยู่ในคน โดยเกาะอยู่กับเม็ดเลือดขาว และอยู่ในสารคัดหลั่งบางอย่างของร่างกายที่พบมากคือ เลือด น้ำอสุจิ และ น้ำในช่องคลอด ในน้ำลาย มีเชื้อเอชไอวีอยู่น้อยมาก หากติดต่อต้องมีปริมาณประมาณ 8 ลิตร ในน้ำนมมีเชื้ออยู่น้อยมากเช่นกัน แต่เด็กทารกดูดน้ำนมเป็นปริมาณมากจึงมีโอกาสติดต่อ ในเหงื่อ น้ำตา อุจจาระ ปัสสาวะ ไม่มีเชื้อเอชไอวี มีปริมาณและความรุนแรงของเชื้อมากพอ เชื้อไม่สามารถอยู่นอกร่างกายคน สภาพแวดล้อมและสภาพในร่างกายบางอย่างที่ไม่เหมาะสมมีผลทำให้เชื้ออยู่ไม่ได้ เช่น ในภาวะความร้อน ความเป็นกรด-ด่าง ต้องมีช่องทางเข้าของเชื้อ เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดโดยผ่านทางเยื่อบุอ่อนที่ปลายอวัยวะเพศชาย เยื่อบุอ่อนในช่องคลอด รู/ปลายท่อปัสสาวะ กรณีที่มีความเสี่ยงทางบาดแผล บาดแผลต้องเป็นแผลใหญ่และสด ดังนั้นโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี จากการที่อยู่ร่วมกับเด็กที่มีเชื้อเอชไอวี ไม่ว่าจะในกรณีของการเรียนด้วยกัน การเล่นด้วยกัน การกินอาหารด้วยกัน หรือการใช้สิ่งของร่วมกันในโรงเรียน ไม่ได้มีปัจจัยครบ 3 ประการที่จะทำให้เกิดการรับเชื้อเอชไอวีได้เลย……..
ข้อมูลจาก http://icare.kapook.com/aids.php?ac=detail&s_id=102&id=1588

ตอบ4 สารน้ำในร่างกายผู้ป่วยที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อเอชไอวี ได้แก่ เลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอดและมดลูก และน้ำนม จากการศึกษาพบว่าในเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟซัยท์ แซลสมอง เลือดและน้ำอสุจิมีเชื้อเอชไอวีอยู่มากสุด รองลงมา คือ สารคัดหลั่งจากช่องคลอดและมดลูก ส่วนในน้ำนมนั้นพบเชื้อเพียงเล็กน้อย นอกจากสารน้ำในร่างกายดังกล่าวแล้ว ยังสามารถพบเชื้อเอชไอวีในสารน้ำต่อไปนี้ได้ ในปริมาณน้อยมากจนไม่มีความสำคัญในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ได้แก่ สารน้ำจากจมูก เสมหะ เหงื่อ น้ำตา อุจจาระ ปัสสาวะ อาเจียน และน้ำลายดังนั้นโรคเอดส์ จึงไม่สามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นจากการสัมผัสทั้งที่โรงเรียน ที่ทำงาน หรือที่บ้าน จากการรับประทานอาหารร่วมกัน การใช้ห้องน้ำร่วมกัน และการจับมือกับคนที่มีเชื้อโรคเอชไอวี นอกเสียจากผู้ที่ไปสัมผัสนั้นมีแผลหรือรอยถลอกของผิวหนัง ซึ่งเป็นทางให้เชื้อเข้าได้ อีกทั้งยุงไม่สามารถนำเชื้อเอชไอวีได้ นั่นคือ โรคเอดส์ไม่สามารถแพร่กระจายอย่างบังเอิญในการอยู่ร่วมกันในสังคม

ข้อมูลจาก http://studentwork.srp.ac.th/Website/Aids48/2/contact.htm

ตอบ5 ยังไม่มีคนติดเอดส์จากการดูดนมนะคับ แม้ในน้ำนมจะมีเชื้อก็ตาม

ตอบ6 เอดส์จากแม่สู่ลูก นักเขียนหมอชาวบ้าน : ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค
เด็กอาจติดเชื้อเอดส์จากแม่ได้โดยผ่านทางน้ำนมของแม่เข้า สู่ปากและทางเดินอาหารของลูก ช่วงนี้พบเป็นสาเหตุของการติดเอดส์ประมาณร้อยละ ๒๐ ในทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่ พบว่า ยิ่งดูดนมแม่นานจะยิ่งติดเอดส์มากขึ้น การป้องกันในการติดเอดส์ช่วงนี้ก็คือการใช้นมผงเลี้ยงลูกแทนนมแม่ตั้งแต่ เกิด ซึ่งเป็นวิธีที่ประเทศที่พัฒนาแล้วใช้กัน รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลดอัตราการติดเอดส์จากแม่ลงจากเดิมที่เคยติด ร้อยละ ๒๕-๓๐ ลงมาเหลือเพียงร้อยละ ๑๘-๒๐ หลังจากแนะนำให้เลิกเลี้ยงลูกด้วยนม

ข้อสังเกตุนะครับจาก ผู้หญิง – Thaith.comเปอร์เซ็นที่ติด 20 เปอร์เซ็นต์มาจาก 1. เด็กได้รับน้ำนมในประมาณมากย้ำว่ามาก ๆ และเวลานาน 2. เด็กยังมีเนื้อเยื่อและภูมิต้านทานต่ำ
3. ไม่เคยพบผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ติดเอดส์จากการดื่มน้ำนมครับ

ตอบ7 ในปัจจุบันจึงมีความพยายามที่จะศึกษาดูว่า ถ้าให้นมแม่เพียงช่วงสั้นๆ (3-6 เดือน) หรือการงดนมแม่ในช่วง 3 วันแรกหลังคลอด ซึ่งหัวน้ำนมในช่วงนั้น มีเม็ดโลหิตขาว ซึ่งมีเชื้อเอดส์ปนเปื้อนอยู่มาก หรือการใช้วิตามินเอ และแร่ธาตุ แก่แม่และลูกขณะให้ลูกกินนม ซึ่งจะไปช่วยลดการเจริญเติบโต ของเชื้อเอดส์ จะช่วยลดการถ่ายทอดเอดส์จากแม่สู่ลูกในประเทศที่ยากจนได้หรือไม่

ตอบ8 ปริมาณไวรัสจะมีมากที่สุดในเลือดรองลงมาได้แก่ น้ำอสุจิ น้ำจากช่องคลอด ส่วนในน้ำลาย น้ำตา น้ำนมและปัสสาวะ จะมีปริมาณน้อยมาก

ตอบ9 ปริมาณเชื้อเอชไอวี
เชื้อเอชไอวี มีอยู่ใน “น้ำคัดหลั่ง” ซึ่งมีอาหารและสภาพที่เหมาะสม (น้ำคัดหลั่งคือน้ำในร่างกายที่มีส่วนประกอบของเซลเม็ดเลือดขาว)

จำนวนเชื้อในน้ำคัดหลั่งแต่ละอย่างมีปริมาณต่างกัน
เลือดสด/น้ำเหลือง มากที่สุด
น้ำอสุจิ/น้ำในช่องคลอด ปานกลาง
น้ำลาย/น้ำนม น้อยมากๆ
อุจจาระ/ปัสสาวะ น้อยจนเกือบไม่มี
ที่มา http://mandela.gameindy.com/index.php/edc/view/study

ตอบ10 การติดเชื้อ
เชื้อไวรัสเอดส์ พบมากที่สุดในน้ำเหลือง เนื้อเยื่อต่างๆ รองลงมา คือน้ำอสุจิ น้ำหลั่งในช่องคลอด และน้ำหลั่งต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกาย เช่นน้ำไขสันหลัง น้ำในช่องปอด น้ำในช่องท้อง น้ำในเนื้อเยื่อหัวใจ ส่วนน้ำลาย เสมหะ น้ำนม มีปริมาณไวรัสเอดส์น้อย และที่ไม่พบเชื้อดังกล่าวเลย คือ เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ
ที่มา http://sumon-kananit.socialgo.com/magazine/read/_2415.html

ตอบ11 ช่วงที่ทารกดูดนมแม่ แม้ว่าในน้ำนมจะมีเชื้อ HIV ไม่มาก แต่ถ้าเด็กกินนมแม่นานๆ จะทำไห้มีความเสี่ยงในการรับเชื้อเพิ่มขึ้น โดยเชื้อผ่านเข้าทางเยื่อบุทางเดินอาหารที่ยังไม่แข็งแรง
ข้อมูลจาก เอกสารของกลุ่มเราเข้าใจ มูลนิธิเอดส์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV /เอดส์ ประเทศไทย

ตอบ12 จิตตกกัวเอดส์ใช่ไหมครับ ในน้ำนมมีเชื้อ h ก็จริง
แต่ถ้าไม่ใช่หลังคลอดที่แม่ให้นมบุตร จะมีน้ำนมได้ไงละ
หรือต่อให้เจอประเภทนางฟ้าที่รีเทริ์นหลังคลอดจริงๆ
ปริมาณมันก็น้อยครับ คุณคงไม่ได้ดูดจนได้น้ำนมเป็นแก้วๆหรอกนะ
สบายใจได้
ว่าไป ถ้าดูดนมแล้วติดเอดส์ ก็ตายห่ากันเกือบหมดบอร์ดแล้ว
ที่มา เก็บตกกระทู้จากเน็ตโดย news.matethai.com ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

10 thoughts on “เอดส์ รวมข้อมูลเอดส์ที่น่าสนใจ อ่านกันได้ที่นี่”

  1. xxx เอดส์ ข้อมูลดีๆ เปอร์เซ็นต์+โอกาสในการติดเอดส์จากการเอาสาว ออน.เเบบไหนเสี่ยงมากน้อย xxx
    เชื้อเอดส์พบได้ที่ไหนบ้าง
    น้ำทุกชนิดที่ออกจากร่างกายมีเชื้อเอดส์ทั้งนั้นมากบ้างน้อยบ้าง
    ที่มีมาก : เลือด, น้ำอสุจิ, น้ำจากช่องคลอด, ตกขาว,น้ำจากเลือดประจำเดือน, น้ำนมแม่
    ที่มีน้อย : น้ำตา, น้ำลาย, น้ำมูก, เสมหะ
    แทบจะไม่มี : อุจจาระ, ปัสสาวะ, เหงื่อ

    ทำไมน้ำหลั่งต่างๆ จึงมีปริมาณไวรัสไม่เท่ากัน
    ไวรัส มันชอบเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดเพื่อแบ่งตัวและเจริญเติบโต ดังนั้นน้ำใดที่มีเม็ดเลือดขาวหรือเลือดเข้าไปเกี่ยวข้องจึงมีเชื้อไวรัสมาก เช่น เลือด, น้ำจากช่องคลอด, ตกขาว, ประจำเดือน น้ำหนอง น้ำใดที่ไม่มีเลือด หรือเม็ดเลือดขาวปะปนก็มีปริมาณไวรัสน้อย เช่น ปัสสาวะ, อุจจาระ, เหงื่อ เป็นต้น

    เชื้อเอดส์อยู่นอกร่างกาย อยู่ได้นานแค่ไหน
    เชื้อ เอดส์ร้ายก็จริง แต่ใจเสาะครับ ไม่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมภายนอกได้ โดยทั่วไปมันจะอยู่ได้เป็นชั่วโมงหรือแค่ไม่เกินวัน ทั้งนี้อยู่ที่สิ่งแวดล้อม ถ้าถูกความร้อน ความแห้ง กรดด่าง หรือแสงแดด ก็หงิกแล้ว แต่ถ้าได้ที่เหมาะๆ มีความชื้นดีๆ หรือห้องแอร์ที่เย็นเจี๊ยบ (ราวๆ 20 องศาเซลเซียส) ก็อาจอยู่ได้หลายวัน แต่ไม่ถึงสัปดาห์

    โรคเอดส์ติดต่อได้กี่ทาง
    โดยหลักๆ ก็มี 3 ทาง
    1. เลือดและการถ่ายเลือด รวมทั้งใช้เข็มร่วมกัน เครื่องมือที่ไม่สะอาดมีคราบเลือดปนเปื้อน หรือมีบาดแผลแล้วไปสัมผัสกับเลือดหรือน้ำเหลืองของคนมีเชื้อเอดส์
    2. ทางการร่วมเพศ รวมทั้งการร่วมเพศระหว่างชายกับหญิง, ชายกับชาย, โดยร่วมเพศทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก ทั้งนี้รวมทั้ง oral sex โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ปากกับอวัยวะเพศชายที่มีเชื้อเอดส์
    3. ทางมารดาสู่ทารก (vertical transmission) ส่วนใหญ่จะติดระหว่างการคลอด และส่วนน้อยที่ติดระหว่างอยู่ในครรภ์และระหว่างให้ลูกดูดนมแม่

    แบบไหนเสี่ยงที่สุด
    รับ เลือดซิครับ โดยเฉพาะรับการถ่ายเลือดทั้งขวดติดเกือบ 100% แต่เดี๋ยวนี้เลือดทุกขวดได้รับการตรวจอย่างดีแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล ส่วนการร่วมเพศ โอกาสติดต่อน้อยกว่าเลือด ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ส่วนการติดจากแม่ไปสู่ลูก ถ้าแม่ไม่ได้รับยาต้านเอดส์ระหว่างตั้งครรภ์ ลูกมีโอกาสติด 25% แต่ถ้ารับยาระหว่างฝากครรภ์โอกาสลดเหลือ 12% และถ้าไม่ให้ลูกกินนมแม่ด้วย โอกาสก็ลดลงเหลือ 8%

    ติดหรือไม่ติด มีปัจจัยอะไรบ้าง
    เอดส์ไม่ได้ติดกันง่ายๆ อย่างที่เข้าใจกัน ขนาดไปยุ่งกับคนมีเชื้อเอดส์ก็ไม่ได้แปลว่า จะต้องติดเสมอไป มันมีปัจจัยมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
    ปริมาณไวรัส (viral load) ถ้าสิ่งสัมผัสนั้นมีปริมาณไวรัสมาก โอกาสติดก็มาก ถ้ามีไวรัสน้อยก็มีโอกาสติดน้อย ปริมาณไวรัสเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ เลือด, น้ำอสุจิ, น้ำจากช่องคลอด
    บาดแผล ผิวหน้ามีหน้าที่ปกป้องร่างกายไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้าผิวหนังมีรอยแตกเป็นแผลก็มีโอกาส ส่วนเยื่อบุต่างๆ เป็นเยื่อบางๆ เช่น เยื่อบุในปาก ตา ช่องคลอด มีโอกาสเป็นรอยแผลเล็กๆ ได้ จึงต้องระมัดระวังอย่าให้เข้าปาก เข้าตา (เห็นหนังฝรั่งที่เขาใส่แว่นตาไหมครับ, หมอใช้ผ้าปิดปาก)
    แผลจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น แผลเริม แผลริมอ่อน แผลซิฟิลิส ก็เป็นแหล่งรอรับเชื้อเอดส์ได้เช่นกัน
    ความ บ่อยในการสัมผัส ร่วมเพศกับคนที่มีเชื้อเอดส์ครั้งเดียว อาจไม่ติดก็ได้ หรือถูกเข็มตำครั้งเดียวก็อาจไม่ติดก็ได้ขึ้นกับปัจจัยอื่นประกอบด้วย

    oral ติดไหม
    ออ รัล หมายถึงการใช้ปากกับอวัยวะเพศ การใช้ปากกับอวัยวะเพศชายที่มีเชื้อเอดส์ มีรายงานการแพทย์แล้วว่าติดได้ แต่การใช้ปากกับอวัยวะเพศหญิง ที่มีเชื้อเอดส์ยังไม่มีรายงานว่ามีคนติดโดยวิธีนี้ (แต่ก็มีโอกาส)

    สำหรับชายกับชาย ฝ่ายใช้ปากมีโอกาสติดมากกว่าฝ่ายถูกอม แต่การติดโดยวิธีนี้ก็พบน้อยมาก

    Hecht และคณะผู้ร่วมงานวิจัยได้รายงานการติดเชื้อ HIV จากการมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือออรัลเซ็กส์ในฝ่ายผู้ที่ ใช้ปากดูดในชายรักร่วมเพศ ที่ติดเชื้อ HIV ระยะเฉียบพลัน 102 ราย ( อายุเฉลี่ย 34 ปี, คนผิวขาว 75 % )

    19 รายที่ติดเชื้อHIV จากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก
    3 รายใน 19 รายไม่สามารถจัดแบ่งประเภทได้เนื่องจากมีข้อมูลไม่เพียงพอ
    8 รายใน19 รายจัดแบ่งใหม่เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อHIV จากความเสี่ยงอื่น นอกจากออรัลเซ็กส์
    ที่เหลือ 8 รายคิดเป็น 7.8 %ใน 102 ราย
    2 รายใน 8 ราย มีประวัติเพศสัมพันธ์ออรัลเซ็กส์อย่างเดียว
    4 รายใน 8 รายมีประวัติมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักร่วมด้วยแต่ใช้ถุงยางอนามัย
    2 รายใน 8 รายมีประวัติมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักร่วมด้วยโดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย แต่มีคู่นอนเพียงคนเดียว และตรวจสอบแล้วผลเลือดHIV เป็นลบ

    ประตูหลังติดง่ายกว่าประตูหน้า จริงหรือ
    แต่ก่อนเชื่อว่าอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้เชื่อว่าประตูหน้าหรือประตูหลังก็มีโอกาสติดได้เท่าๆ กัน

    ลงอ่างติดเอดส์ไหม
    ลำพังลงอ่างเฉยๆ มันไม่กระไรหรอกครับ ที่มันติดก็เพราะไปเล่นจ้ำจี้กันมากกว่า ปกติเชื้อไวรัสเอดส์มักใจเสาะ โดนน้ำอุ่นในอ่าง โดนสบู่ จำนวนไวรัสก็ตายไปแยะแล้ว ยิ่งมาเจอปะปาเมืองไทย กลิ่นคลอรีนคลุ้งไปหมด เชื้อเอดส์ก็อยู่ไม่ได้แล้ว ดังนั้นถ้าไปอาบน้ำเฉยๆ ก็สบายใจได้เลยครับ (ก็ไม่รู้จะไปทำไม…เน๊าะ…ถ้าไม่นาบด้วย)

    ดูดนมหมอนวด ติดเอดส์ไหม
    ถ้าไม่ใช่แม่ลูกอ่อน ไม่มีน้ำนม ก็ไม่ติดครับ จะดูดก็ดูดไปเห้อะ…

    แต่ถ้าหมอนวดเป็นแม่ลูกอ่อนยังมีน้ำนมอยู่ละก้อ…อย่าไปแย่งเด็กดูดเชียวล่ะ..ติด HIV จากน้ำนมได้นะครับ

    เลียตรงนั้นของหมอนวด ถ้าหมอนวดมีเชื้อ hiv จะติดไหม
    ของสาธารณะอย่างนี้ไม่น่าจะไปเลียเลยครับ ถ้าเป็นแฟนก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นแฟนก็ไม่น่าจะมีเชื้อน่ะ นอกจากของมือสอง

    พูด ถึงหญิงที่มีเชื้อ hiv ในน้ำหรือของเหลวในช่องคลอดก็มีปริมาณเชื้อมากเช่นกัน ดังนั้นถ้ามีแผลในปาก เหงือกอักเสบ โอกาสติดก็ย่อมมีครับ

    นิ้วจิ้ม…ติดไหม
    ถ้า หมอนวดมีเชื้อ แล้วนิ้วเรามีแผล หรือเพิ่งตัดเล็บมา โอกาสติดก็มี แต่ก็ยังไม่เคยเจอคนติดเอดส์โดยวิธีนี้ จะเคยเจอก็เป็นซิฟิลิสที่นิ้ว

    น้ำจากที่นั่นของผู้หญิงกระเด็นใส่ โดนแผลเรา จะติดไหม
    ถ้าหมอนวดมีเชื้อ โอกาสติดตามทฤษฏีก็มี แต่ก็น้อยครับ เท่าที่เจอก็ติดแบบตรงไปตรงมาคือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน

    เที่ยวหญิงโสเภณี…ปลอกแตก…ติดไหม
    ใจเย็นๆ ไว้โยม…หญิงโสเภณีโดยเฉพาะอาบอบนวดนั้น ไม่ได้เป็นเอดส์ทุกคนหรอก มีไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำไป ที่มีเลือดเอดส์บวก ถ้าคุณโชคดีไปเจออีก 95% ที่ไม่มีเชื้อเอดส์ ก็ย่อมไม่ติดเอดส์แน่นอน แต่ถ้าดวงซวยไปเจอพวกเลือดเอดส์บวกละก้อ ตัวใครก็ตัวใครละครับ…มีสิทธิ์…มีสิทธิ์ก็แปลว่า อาจติดก็ได้ ไม่ติดก็ได้ แล้วแต่ใครทำบุญมามากน้อยแค่ไหน (ถ้าถุงยางแตกและรู้ตัว รีบเปลี่ยนใหม่ทันทีจะช่วยได้แยะ ดังนันต้องมียางอะหลั่ยสำรองไว้เสมอ)

    โสเภณีราคาแพง จะปลอดภัยไหม
    ไม่ แน่ดอกนาย…จริงอยู่พวกราคาถูกอาจมีโอกาสเลือดเอดส์บวกมากกว่าพวกราคาแพง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเอดส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัยรุ่น, นักร้อง, พวกสมัครเล่น… แสบกันมาแยะแล้วครับ อย่าลืมว่าเที่ยวอย่างปลอดภัย ต้องใส่ปลอกทุกครั้งทุกคน

  2. ต่อจ้า
    เที่ยวหญิงโสเภณี แล้วจะมานอนกับภรรยาได้ไหม
    ” เที่ยว” หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการหรือหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาตน ถ้าไม่ใส่ถุงยางอนามัยละก้อต้องงดการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาโดยเด็ดขาด แต่ก่อนนี้เราให้เวลา 2 สัปดาห์ แต่พอมีเอดส์ต้องอย่างน้อย 2-3 เดือนครับ จนกว่าจะตรวจเลือดให้ผลลบแล้ว แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องใช้ถุงยางอนามัยกับภรรยาไปก่อน

    สรุปเป็นเปอร์เซนต์การติดได้ไหม
    รับเลือดจากผู้ติดเชื้อเอดส์ โอกาสติดมากกว่า 90 %
    ทารกในครรภ์มารดาที่มีเชื้อ โอกาสติด 12-15 % แต่ถ้ากินยาป้องกันก็จะลดลงเหลือ 8 %
    ร่วมเพศโดยไม่ใช้ถุงยางกับหญิงที่มีเชื้อ โอกาสติด 0.1-1.0 % ต่อหนึ่งครั้ง เพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้ง
    ร่วมเพศโดยใช้ถุงยางกับหญิงที่มีเชื้อ แต่ถุงแตกหรือหลุด โอกาสติด 0.1-1.0 % ต่อหนึ่งครั้ง เพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้ง
    ร่วมเพศทางทวารหนัก กับผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยไม่ป้องกัน โอกาสติดติดเชื้อเอดส์ 0.1 ? 3.0%
    ฉีดยาเสพติดด้วยเข็มที่มีเชื้อ โอกาสติด 1 % ต่อหนึ่งครั้ง เพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้ง
    ถูกเข็มที่ขี้ยาทิ้งไว้บนที่นั่งในโรงหนังทิ่มก้น โอกาสติดเชื้อ 0.4 %
    บุคคลากรทางการแพทย์ถูกเข็มตำ โอกาสติด 0.5 %

    มีอัตราเสี่ยงเท่าไร ? ถ้ามีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดโดยไม่ป้องกันและไม่มีการหลั่งน้ำกามออกมา
    แบบที่ 1.ตามสถิติ โอกาสที่เป็นไปได้ที่จะติดเชื้อ เมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดกับคู่นอนมีเลือดบวก
    แบบที่ 2.พิจารณาเกี่ยวกับ มีปัจจัยอะไรที่ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น หรือน้อยลง

    (จาก New England Journal of Medicine)
    โอกาสที่เป็นไปได้ ในการติดเชื้อ เฮชไอวี ต่อ ครั้ง กับคู่นอนที่มีเลือดเฮชไอวีบวก

    เชื้อเฮชไอวีติดต่อเข้าสู่ร่างกายหาก โอกาสที่เป็นไปได้ในการติดเชื้อเฮชไอวี
    ไม่ป้องกัน เป็นฝ่ายรับ เพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก 8 – 32 ครั้งใน 1,000 ครั้ง
    ไม่ป้องกัน เป็นฝ่ายหญิง เพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด 5 – 15 ครั้งใน 10,000 ครั้ง
    ไม่ป้องกัน เป็นฝ่ายชาย เพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด 3 – 9 ครั้งใน 10,000 ครั้ง
    อุปกรณ์ใช้ฉีดยาที่ติดเชื้อเฮชไอวี 67 ครั้งใน 10,000 ครั้ง
    ถูกเข็มที่ติดเชื้อเฮชไอวีตำ 32 ครั้งใน 10,000 ครั้ง

    ท่าน จะเห็นได้ว่า การเป็นฝ่ายรับมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด มีอัตราเสี่ยงน้อยกว่า ทางทวารหนักหรือ ใช้เข็มร่วมกัน สังเกตุเห็นได้ว่า การจะหลั่งน้ำกามหรือไม่หลั่ง ไม่มีส่วนสำคัญเลย การติดเชื้อโรคจากการมีเพศสัมพันธ์ หากมีโรคติดเชื้อตัวอื่นอยู่ก่อนโอกาสที่จะติดเชื้อเฮชไอวีไปด้วย จะง่ายขึ้น

    อัตราเสี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดโดยมีการหลั่งน้ำกาม สมมุติว่าฝ่ายชายเป็นผู้ติดเชื้อเฮชไอวีอยู่ ปัจจัยเสี่ยงมี ดังนี้
    ปริมาณน้ำกามมีมากน้อยเท่าไร
    การไม่หลั่งน้ำกามจะเสี่ยงน้อยกว่ามีการหลั่งน้ำกาม
    แต่ถึงอย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับมีเชื้อไวรัสมากน้อยเท่าไรในน้ำกามนั้นด้วย
    ไวรัสโหลดในฝ่ายชายมีเท่าไร
    ฝ่ายชายติดเชื้ออยู่ในระยะไหนของโรค มีจำนวนเชื้อเฮชไอวีเท่าไร ถ้าปริมาณสูงมากโอกาสเสี่ยงมาก
    ฝ่ายชายเป็นโรค ท่อปัสสาวะอักเสบ (หนองใน) หรือโรคติดเชื้อทางเพศอย่างอื่น อยู่หรือเปล่า
    เมื่อฝ่ายชายเป็นหนองใน แสดงว่า มีเม็ดเลือดขาวออกมาจะมีเชื้อเฮชไอวีร่วมด้วย อย่างแน่นอน และปริมาณมากจะออกมากับน้ำกามที่หลั่ง
    ฝ่ายชายมีแผลอักเสบอยู่บริเวณผิวหนังของอวัยวะเพศ ?
    นอก จากในท่อปัสสาวะแล้ว ผิวหนังด้านนอกของอวัยวะเพศมีแผลอักเสบจากโรคติดเชื้อทางเพศ เช่น เริม หงอนไก่ ซิฟิลิส ? แผลเหล่านี้จะถ่ายเชื้อไวรัส รวมทั้งเชื้อเฮชไอวีด้วย
    เยื่อบุช่องคลอดฝ่ายหญิง มีแผลอักเสบใดๆอยู่ก่อน ?
    เป็น สิ่งสำคัญที่ต้อง ตรวจภายในเป็นประจำหากคุณอยู่ในวัยเจริญพันธ์ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะที่คุณรู้สึก ระคายเคือง ร้อนๆ หรือมีตกขาวออกจากช่องคลอด ใช้เจลหล่อลี่น ช่วยลดอันตรายหรือการเสียดสีต่อเยื่อบุช่องคลอดได้

  3. อ่านต่อจ้า
    ความเข้าใจผิดกับการติดเอดส์
    มีหลายคนไปเที่ยวหมอนวดแล้วแทนที่จะมีความสุข กลับมาทุกข์ใจ แล้วมา post ถามว่า อย่างนี้ผมจะติดเอดส์ไหม

    จะ สรุปสั้นๆว่า เท่าที่เคยเจอมา ที่ติดเชื้อ HIV ให้เห็นนั้น เป็นประเภทมีเพศสัมพันธ์โดยการสอดใส่แล้วไม่ได้ป้องกันเท่านั้น ส่วนที่น้ำไหลั่งมาโดนผิวข้างนอกแล้วติด HIV ยังไม่เคยเจอ

    กรณีที่ใช้ถุงยางอนามัยแล้ว ใช้อย่างถูกต้อง ไม่รั่ว ไม่แตก ไม่หลุด ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวลอะไรอีก

    อวัยวะ ส่วนที่ถุงยางคลุมไม่ถึง คือตรงโคน อาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างอื่นได้ เช่น เริม แผลริมอ่อน ซิฟิลิส โลน หรือโรคผิวหนังอื่นๆ

    แผลที่ผิวหนังที่จะติดได้ คือแผลสดเท่านั้น (แต่ก็ใช่ว่าจะติดได้ง่ายๆ ) ถ้าแผลแห้งมีเกร็ดเลือดมาปิดแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นแผลสด โดยทางเทคนิคแล้วแผลสดๆมีน้ำเลือดน้ำเหลืองเยิ้ม ก็เป็นช่องทางที่เชื้อ hiv จะเข้าสู่ร่างกายได้ จะถือว่าไม่สดโดยปกติก็หลายชั่วโมงผ่านไปแล้วจึงจะปลอดภัย แผลสดถ้าเป็นแผลลึกหรือแผลใหญ่อาจใช้เวลานานกว่านั้น
    หนังที่นิ้วหรือ หัวหน่าวจะหนากว่าเยื่อบุในท่อปัสสาวะ ในช่องคลอด หรือทวารหนัก โอกาสติดก็มีน้อยกว่า แต่ก็ควรสังวรณ์ นิ้วไม่ซุกซนไว้แหละดี

  4. อ่านต่อจ้า
    oral sex ติดไหม

    @ตอบ… ผู้ถูกกระทำ โอกาสติด HIV จากน้ำลายยังไม่เคยเจอ
    ส่วน ผู้กระทำคือผู้ใช้ปาก โอกาสติดก็มี เพราะในน้ำหลั่งชาย น้ำหลั่งหญิงมีเชื้อเป็นจำนวนมาก ถ้าในปากมีการอักเสบ ฟันผุ เหงือกอักเสบ ก็เป็นช่องทางให้เชื้อเข้าไปได้ และก็เคยมีรายงานการติด HIV ในรายชายรักเพศเดียวกันมาแล้ว แม้มีไม่กี่ราย แต่ก็เป็นไปแล้ว

    อาบน้ำเฉยๆติดไหม

    @ตอบ… แหม…คิดมากไปแล้วครับ อาบน้ำในอ่างเดียวกับหมอนวด ถึงแม้หมอนวดจะมีเชื้อ HIV น้ำหลั่งของเธอจะออกมาปนกับน้ำอาบ พอโดนน้ำร้อนบวกคลอรีน เชื้อก็ตายหมดแล้วครับ

    มีอะไรกันเสร็จแล้ว ถอดถุงยางแล้วเอาน้องชายไปล้างในอ่างจะติดไหม

    @ตอบ… ไม่ติดหรอกครับ แต่น้ำนั้นก็ไม่ค่อยสะอาด ใช้น้ำหัวฉีดดีกว่าครับ

    เสร็จ กิจแล้ว อย่าแช่นานจนน้องชายเหี่ยว ถุงจะหลุด เวลาถอนสมอก็ใช้กระดาษทิชชูจับโคนถุงยางไว้ด้วย ไม่งั้นอาจโดนหนีบ น้องชายออกมาแต่ถุงคาอยู่ในนั้นได้

    เวลาถอดถุงยางให้ใช้กระดาษทิชชูจับโคนถุงยางแล้วค่อยๆรูดออก แล้วทิ้งถังขยะ แต่ถ้าจะทดสอบรอยรั่ว ก็รองน้ำจากก็อก
    ถ้าน้ำของหญิงโดนนิ้วจะติดไหม….ดูข้อ 4.

    ผม ไปเที่ยว ออน. มา 20 วันแล้ว ตอนนี้มีอาการ ตัวร้อน คอร้อน เป็นบางครั้ง มีเสลดในลำคอ ไม่ยอมหาย หายใจออกมาร้อนมากเลยครับ ผมมีโอกาสเป็นโรคเอดส์ริเปล่า

    @ตอบ… อาการเอดส์ไม่ออกเร็วปานนั้นหรอกครับ เอดส์จะแสดงอาการต้องหลังจากรับเชื้อหลายปีแล้ว ดังนั้นถ้าไปเสี่ยงมาแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน(ยังไม่ถึงปี)แล้วมีอาการ อะไรก็ตาม ไม่ใช่เป็นอาการจากเอดส์แน่นอน อาจเป็นจากโรคอื่นได้ แนะนำให้ไปหาหมอตรวจรักษาเสีย ก็จะหายครับ

    อาการคันตามตัวแล้วเกาเกิดเป็นแผลและมีหนองขึ้นเป็นตุ่มเกิดจากอะไรครับหลังเสี่ยงมาได้1เดือนครับ

    @ตอบ… เป็นโรคผิวหนังธรรมดา แนะนำให้ไปหาหมอโรคผิวหนังเพื่อตรวจ รักษา
    เอดส์ จะแสดงอาการต้องหลังจากรับเชื้อหลายปีแล้ว ดังนั้นถ้าไปเสี่ยงมาแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน(ยังไม่ถึงปี) แล้วมีอาการอะไรก็ตาม ไม่ใช่เป็นอาการจากเอดส์แน่นอน

    ผมเที่ยวมา หลังจากเที่ยวได้ 3-4 วันคอแห้งลิ้นแห้งพอไปดูกระจกเห็นลิ้นเป็นฝ้าขุยที่โคนลิ้นตกใจและนอนคิด เครียดมากผม ผมจะติดเอดส์ไหม

    @ตอบ… อาการที่ว่าไม่เกี่ยวกับเอดส์แน่นอน (ส่วนจะติดหรือไม่ติดก็เป็นอีกเรื่อง)
    เอดส์ จะแสดงอาการต้องหลังจากรับเชื้อหลายปีแล้ว ดังนั้นถ้าไปเสี่ยงมาแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน(ยังไม่ถึงปี)แล้วมีอาการ อะไรก็ตาม ไม่ใช่เป็นอาการจากเอดส์แน่นอน

    ตอนนี้มีอาการเป็นตุ่ม เม็ดเลือดแดง ๆ เม็ดเล็ก ๆ ตามแขน หลังจากไปเสี่ยงมา 23 วัน อาการที่ว่านี้เป็นโรคเอดส์ริเปล่า เป็นเม็ดเลือดแดง ๆ เม็ดเล็ก ๆ ใต้ผิวหนังครับคุณหมอ

    @ตอบ… อาการที่ว่าเป็นเรื่องโรคผิวหนังธรรมดาทั่วไป ไม่เกี่ยวกับเอดส์แน่นอน (ส่วนจะติดหรือไม่ติดก็เป็นอีกเรื่อง) แนะนำให้ไปหาหมอโรคผิวหนังรักษาเสีย จะได้หายไม่ต้องมากังวลใจอีก

    เอดส์จะแสดงอาการต้องหลังจากรับเชื้อ หลายปีแล้ว ดังนั้นถ้าไปเสี่ยงมาแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน(ยังไม่ถึงปี) แล้วมีอาการอะไรก็ตาม ไม่ใช่เป็นอาการจากเอดส์แน่นอน

    ผมไปเทั่ยวอย่างว่ามาเมื่อสองเดือนที่แล้ว ตอนนี้มีอาการออกร้อนวูบวาบ บางวันก็มีอาการท้องเสียบ่อยๆ ผมจะติอเอดส์ไหม

    @ตอบ… เอดส์จะแสดงอาการต้องหลังจากรับเชื้อหลายปีแล้ว ดังนั้นถ้าไปเสี่ยงมาแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน(ยังไม่ถึงปี) แล้วมีอาการอะไรก็ตาม ไม่ใช่เป็นอาการจากเอดส์แน่นอน อาการของคุณน่าจะเป็นรื่องท้องเสียธรรมดาทั่วไป ที่บังเอิญมาเกิดตอนนี้แล้วใจคุณก็หวั่นโรคเอดส์ก็เลยจับเอามาเกี่ยวข้องกัน ไม่มีอะไรหรอก ไปหาหมอรักษาก็หายครับ

    ไปเที่ยวสวมถุงชั้นเดียวหรือสองชั้นดีกว่าครับ ระหว่างใส่แค่ชั้นเดียว หรือกับใส่ทีเดียวสองชั้นอย่างไหนจะดีกว่าครับ

    @ตอบ… เดี๋ยวนี้เขา ..พัด ตะ นา แล้วววว…ชั้นเดียวก็พอครับ

    เอานิ้วใส่เข้าไปในช่องคลอดของผู้ญ.จนนิ้วเลอะนํากามทั้งนิ้วจะเป็นเอดส์ได้ไหมครับ

    @ตอบ… สงสัยคนถามจะเป็นสมาชิก “ชมรมผู้นิยมจุ้มจิ่ม” ละมัง ….เอดส์ไม่ได้ติดง่ายๆอย่างนั้นหรอครับ ถึงจะมีแผลบ้างก็ใช่จะติดง่ายๆ ถ้าไม่เอา”เจ้าตัวยุ่ง”สอดใส่ ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง

    เมื่อไหร่ผมจึงจะแพร่เชื้อได้ หนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งวัน หรือหนึ่งเดือน
    ผมไปเที่ยวอาบอบนาบมาถ้าได้รับเชื้อHIV มาแล้วต่อมาผมมานอนกับแฟน แฟนจะติดเชื้อไหม

    @ตอบ… แหม…เป็นคำถามที่ตอบยากจริงๆ เพราะหาคนมาทดลองได้ยาก พอถามหาก็ถอยกรูดทุกราย
    แต่ มีการศึกษาในลิง โดยฉีดเชื้อเข้าไป จะตรวจพบเชื้อในกระแสเลือดภายใน 7 – 12 วัน ดังนั้นถ้าจะเทียบเคียงกับคนอย่างเร็วที่สุดต้องใช้เวลา 7 – 12 วันหลังจากได้รับเชื้อ

    แต่…..การติดเชื้อHIVในคนนั้นไม่ได้ แปลว่าพอร่วมกับคนที่มีเชื้อแล้วต้องติดเชื้อ HIV เสมอไปยังมีปัจจัยอื่นอีกมากเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น

  5. ต่อจ้า
    ผู้แพร่เชื้อ มีปริมาณเชื้อไวรัสในกระแสเลือดมากน้อยแค่ไหน
    มีโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นร่วมด้วยหรือไม่(เช่นหนองในเป็นต้น)
    ในเวลานั้นมีเชื้อในน้ำอสุจิหรือ น้ำคัดหลั่งในช่องคลอดมากน้อยแค่ไหน
    มีประจำเดือนหรือเปล่า (สัมผัสเลือด)
    มีแผลอักเสบร่วมด้วยไหม
    ขึ้นกับชนิดของสายพันธ์
    ผู้รับเชื้อมีภูมิต้านทานแข็งแรงหรืออยู่ในภาวะอ่อนแอ
    มีบาดแผลหรือแผลอักเสบที่เป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายหรือเปล่า
    ฯลฯ

  6. จะจบแล้วจ้า
    หนึ่งชายสองหญิงแบบแซนด์วิช ใช้ถุงยางร่วมกันจะติดกันไหม
    หมาย ความว่าหนึ่งชายมีเพศสัมพันธ์กับหญิงสองคนในเวลาเดียวก้น ฝ่ายชายใช้ถุงยางอนามัยกับหญิงหนึ่งที่มีเชื้อ HIV แล้วมาร่วมกับหญิงอีกคนโดยไม่ได้เปลี่ยนถุงยาง หญิงคนที่สองจะติดเชื้อได้ไหม

    @คำตอบ…ได้ครับ แต่…โอกาสติดจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับรูปแบบของเพศสัมพันธ์ มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เสี่ยงกว่าทางช่องคลอด ทางช่องคลอดเสี่ยงกว่าทางปาก

    จบแล้วจ้า
    เครดิต นพ.รุ่งโรจน์ ตรีนิติ

  7. xxx HIV คือ อะไร เอดส์คืออะไร ติดต่อกันอย่างไร เอดส์แพร่กระจายไปได้อย่างไร เด็กรับเชื้อ HIV จากแม่อย่างไร HIV จากแม่สู่ลูก ยาต้านไวรัส HIV คืออะไร ทำไมต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส อาการข้างเคียงและการแพ้ยาต้านไวรัสเป็นอย่างไร ทำอย่างไรเมื่อการรักษาด้วยยาต้านไวรัสไม่ได้ผล นำข้อมูลมาฝากกันแล้วครับ xxx

    HIV คือ อะไร?
    เชื้อ HIV คืออะไร อยู่ในร่ายกายอย่างไร
    เชื้อ HIV เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็กมองไม่เห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา เชื้อ HIV มีรูปร่างกลมๆเปลือกนอกมีปุ่มยื่นออกมา เชื้อ HIV จะใช้ปุ่มนี้เกาะเม็ดเลือกขาวใน ร่างกายคนและแทรกเข้าไปอยู่ในเม็ดเลือดขาว เพื่ออยู่อาศัยและแบ่งตัวขยายพันธุ์ทำให้เม็ดเลือดเลือดขาวที่ติดเชื้อ HIV ถูกทำลายไม่สามารถทำหน้าที่จัดการกับเชื้อโรดต่างๆ ที่อยู่ใน ร่างกายได้

    เอดส์คืออะไร
    เมื่อเชื้อ HIV มีปริมาณมากขึ้น เม็ดเลือดขาวก็ถูกทำลายลงไปเรื่อยๆ จนถึงระดับที่ไม่สามารถจัดการกับเชื้อโรคต่างๆได้ เรียกภาวะนี้ว่าภูมิคุ้มกัน บกพร่อง ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า เอ็ดส์ ( AIDS) ในภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องนี้ ทำให้ร่างกายเกิดความเจ็บป่วยบ่อยๆ มากกว่าคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติ

    เชื้อ HIV ติดต่อกันอย่างไร
    สาเหตุการติดเชื้อไวรัสHIVมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกันกับ ผู้ที่มีเชื้อ ซึ่งเราไม่สามารถดูจาก สถานะทางสังคม สภาพร่างกาย ได้ว่ามีเชื้อHIVอยู่หรือไม่ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ยังมีเพศสัมพันธ์คุณคง ตระหนักรู้ด้วยว่า เอดส์มากับเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันไม่ว่าคุณจะเป็นใคร
    หรือแม้กระทั่งเมื่อคุณเลือกใช้ถุงยางเพื่อมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ในช่วงแรก ๆ แล้วคุณก็อาจจะเผลอและคิดว่าเข้าใจกันตีแล้ว น่าจะไว้ใจ ได้แล้ว คนนี้น่าจะไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องป้องกันอีกก็ได้
    จากความไม่รู้ไม่คิดว่าคนที่เรากำลังมีเพศสัมพันธุ์ด้วยมีเชื้ออยู่ อาจจะดูแลเพียงป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยการใช้ยาคุมกำเนิด และไม่เห็นถึงความจำเป็นในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยจากเอดส์
    ดังน้นถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม (ช่องคลอด หรือ ทวารหนัก) กับคนที่ติดเชื้อไวรัส HIVคุณอาจจะได้รับเชื้อ ในครั้งใดครั้งหนึ่งของการมีเพศสัมพันธ์ และใช้ถุงยางอานามัยทุกครั้งสามารถช่วยป้องกันคุณได้
    การใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกับผู้ที่มีเชื้อไวรัส HIV สามารถทำให้คุณติดเชื้อได้ การไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นการป้องกันเอดส์ที่ดีที่สุด คุณจะติดอย่างไรในช่วง วัยที่ อยู่ท่ามกลางความสัมพันธ์กับผู้คนที่หลากหลาย มีความสนุกสนาน มีความรักใคร่ทำให้มีโอกาสที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้ คุณคงต้องคิดตัดสินใจ ว่า จะมีการร่วมเพศในช่วงนี้เลย หรือจะชลอไว้ก่อนจนกว่าจะพร้อมในเรื่องของการป้องกัน ถ้าคุณตัดสินใจที่จะมีเพศสัมพันธ์คุณต้องรู้ว่าคุณเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ HIV คุณยังคงมีความสุขจากความสัมพันธ์ทางเพศได้
    การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้มีแต่เฉพาะการร่วมเพศ เท่านั้น คุณยังคงหาความสุขได้จากการสัมผัส โอบกอด และอยู่ร่วมกัน เรื่องการหาความสุขทางเพศเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันเพื่อมี ความสุขและปลอดภัยร่วมกัน
    การตัดสินใจชลอ การร่วมเพศออกไปเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะมีเวลาเรียนรู้ชึ่งกันและกัน พื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้มั่นคงขึ้น เพศสัมพันธ์ทุกรูปแบบมีโอกาสทำให้คนติดเชื้อเอดส์ได้ทั้งนั้น เพราะความจริงที่ไม่น่าลืมเด็ดขาดก็คือ เชื้อเอดส์สามารถอยู่ในร่างกายของเราได้โดยที่ไม่แสดงอาการอะไรให้รุ้เลยแต่ ละคนอาจเสี่ยงรับเชื้อเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ลักษณะต่างๆกันบางคนอาจเห็น ชัดว่าตัวเองเสี่ยง แต่บางคนก็ประมาทหรือนึกไม่ถึงว่าตัวเองก็เสี่ยง แต่บางคนก็ประมาทหรือนึกไม่ถึงว่าตัวเองก็เสี่ยง เพศสัมพันธ์ที่ทำให้คนเสี่ยงติดเชื้อเอดส์เช่น หญิงแม่บ้านที่มีเพศสัมพันธ์กับสามีกับสามีโดยที่ไม่เคยพูดคุยกับสามีเรื่อง การป้องกันเอดส์ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเชื่อใจไม่คิดว่าสามีจะเป็นอื่นได้หรือเพราะไม่กล้าพูด เรื่องนี้ก็ตาม แต่สามียังคงมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นนอกบ้าน คู่รักที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ชึ่งอาจเป็นได้ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะมีเชื้อมาก่อนจากการมีพศสัมพันธ์ในอดีต กับคู่รักเก่าหรือการชื้อขายบริการทางเพศ โดยที่แต่ละฝ่ายก็ไม่รู้ตัวมาก่อน การชื้อขายบริการทางเพศตามสถานที่ต่างๆ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยการมีเพศสัมพันธ์กันในระหว่างเพื่อนนักเรียน เพื่อนที่ทำงาน หรือคนที่เพิ่งพบกัน ในสถานที่แหล่งบันเทิงต่างๆ และไม่ได้มีโอกาสเตรียมตัวป้องกันเพราะอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเร็วและจบ อย่างรวดเร็ว ชึ่งเป็นไปได้ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจได้รับเชื้อมาก่อนจากการมีเพศสัมพันธ์ ที่ผ่านมา
    กว่า 80 เปอร์เช็นต์ ของผู้ติดเชื้อไวรัสHIVติดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันและคุณจำเป็น ต้องรู่ว่าจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร ด้วยตัวคุณเอง

    เอดส์แพร่กระจายไปได้อย่างไร
    ถ้าคุณอยู่ในช่วงที่มีเพศสัมพันธ์ได้ คุณคือคนหนึ่งที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ เพราะเชื้อHIVอาจมาถึงตัวคุณได้ ในวิถีชีวิตที่ไม่คาดคิด เช่นความรักในแต่ละช่วงชีวิต
    อารมณ์ความรักนำไปสู่เพศสัมพันธ์ ต่อมาความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่น หรือเจอคนใหม่ที่ถูกใจกว่า และอีกนานาสาเหตุ ก็อาจจะเลิกรากันไป นั่นคือโอกาสในการเปลี่ยนคู่ที่เราไม่เคยตั้งใจ
    คนส่วนใหญ่ไม่สามารถบอกเรื่องราวทั้งหมดของเขาได้ เช่นเขาไม่กล้าบอกคู่ของตนเองว่าเคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วกี่คน กี่ครั้ง หรือยาเคยใช้ยาเสพติด ซึ่งทำให้เขาอาจจะติดเชื้อ
    มาแล้วจากประสบการณ์ที่ผ่านมา และเขาเหล่านั้นก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าตนเองมีเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายและเราก็ไม่อาจรู้ว่าคนที่เรามีความสัมพันธ์ทางเพศด้วย มีเชื้ออยู่หรือไม่เพราะก็ไม่รู้ได้ด้วยการมองจากภายนอกและเขาก็อาจนะไม่รู้ ตัวว่ามีเชื้ออยู่แล้ว หรือเราก็เลือกตัวสินว่าคนนี้ดูดีคนนี้มาจากครอบครัวที่ดี หรือมีหน้าที่การงานที่ดี ดูสะอาดหรือแม้แต่กระทั่งการไปซื้อบริการทางเพศราคาสูง ไม่น่าจะเป็นผู้ที่มีเชื้อไวรัส HIV เพราะคิดว่าตนเองเลือดแล้ว คิดดีแล้วก็เป็นได้

    เด็กรับเชื้อ HIV จากแม่อย่างไร
    เด็กมีโอกาสรับเชื้อ HIV จากแม่ใน 3 ช่วง ได้แก่
    • ช่วงอยู่ในท้องแม่ (ก่อนคลอด) ตามปกติแล้วเชื้อจากแม่จะไม่สามารถผ่านรกเข้าสู่ลูกในท้องแม่ได้ แต่ถ้ารกมีความผิดปกติเชื้อจากสามารถผ่านไปสู่ลูกได้
    • ช่วงคลอด มีโอกาสสูงสุด เพราะทารกอาจกลืนเลือกและน้ำในช่องคลอดทำให้เชื้อ HIV ผ่านเข้าทางเนื้อเยื้อบุอ่อนของทารกได้
    • ช่วงที่ทารกดูดนมแม่ แม้ว่าในน้ำนมจะมีเชื้อ HIV ไม่มาก แต่ถ้าเด็กกินนมแม่นานๆ จะทำไห้มีความเสี่ยงในการรับเชื้อเพิ่มขึ้น โดยเชื้อผ่านเข้าทางเยื่อบุทางเดินอาหารที่ยังไม่แข็งแรง
    เด็กส่วนใหญ่ไม่ติดเชื้อจากแม่
    โดยทั่วไปทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ HIV มีโอกาสได้รับเชื้อประมาณร้อยละ 25-30 ทั้งนี้โอกาสในการรับเชื้อ HIV ของเด็กจะลดลงเหลือ เพียงร้อยละ 2-8 ถ้าแม่ฝากครรภ์ได้รับ การดูแลสุขภาพและยาต้านไวรัสตามแผนการรักษา และให้เด็กดื่มนมผสมแทนนมแม่การดูแลสุขภาพเมื่อเมื่อฝากครรภ์หญิงตั้งครรภ์ จะได้รับการเตรียมร่างกายให้มีความพร้อม คัด กรองและรักษาความผิดปกติต่างๆ ที่เพิ่มโอกาสการผ่านเชื้อ HIV ไปยังลูกอีกทั้งแพทย์ยังให้บริการยาต้านไวรัสที่เหมาะสมก่อนการตั้งครรภ์

    ตรวจหาเชื้อ HIV ของเด็กอย่างไร
    การตรวจหาเชื้อ HIV ที่มีความเม่งยำที่สุดคือการตรวจหาสารภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV หรือทางการแพทย์เรียกว่า HIV Antibody ที่ร่างกายสร้าง ขึ้นหลังจากเชื้อผ่านเข้ามาในร่างกายแล้ว ถ้าตรวจพบภูมิคุ้มกันเมื่อเด็กอายุครบ 18 เดือน ก็แสดงว่ามีการติดเชื้อ HIV ซึ่งเป็นช่างที่สารภูมิ คุ้มกัน ที่แม่ส่งผ่านให้ลูกโดยธรรมชาติตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้หมดไป และร่างกาย ของเด็กสร้างสารภูมิคุ้มกันได้เอง การตรวจหาการติดเชื้ออีกประเภทหนึ่งคือการตรวจหาเชื้อไวรัส HIV หรือที่เรียกว่าการตรวจ พีซีอาร์ ( PCR) ซึ่งสามารถตรวจได้ผลแม่น ยำเมื่อเด็กอายุตั้งแต่ 4 เดือน ขึ้นไป

    จะตรวจว่าเด็กแรกเกิดมีการติดเชื้อ HIV หรือไม่
    เนื่องจากภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV ของแม่สามารถผ่านรกมายังทารกได้ การตรวจหาสารนี้ในเด็กแรกเกิดจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเด็กมีการติด เชื้อหรือไม่เพราะไม่ทราบว่าจะเป็นของ แม่ที่ส่งผ่านมา หรือเป็นการสร้างสารนี้ของเด็กเองจากการที่ได้รับเชื้อมาจากแม่ สารภูมิคุ้มกันนี้จะ อยู่ในร่างกายของเด็กประมาณ 18 เดือน ก่อนที่จะสลายไปการตรวจหาสารนี้ใน ระยะ 18 เดือนแรกจึงไม่สามารถบอกสภาวะการติดเชื้อ ของเด็กได้ ต้องใช้วิธีการตรวจ PCR
    การตรวจหาเชื้อ HIV ของเด็กเพื่ออะไร
    เป้าหมายของการตรวจเลือดหาเชื้อ HIV ของเด็กโดยเฉพาะเด็กที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการ รักษาด้วยยาต้านไวรัส และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน และโรคติดเชื้อฉวยโอกาสบางชนิดที่พบบ่อยในเด็กที่ติดเชื้อ HIV และมีภูมิคุ้มกันต่ำ

    การตรวจการหาเชื้อ HIV ละเมิดสิทธิเด็กหรือไม่
    การตรวจหาเชื้อ HIV ของเด็กเพื่อคัดแยกเด็กออกจากเด็กที่ไม่ติดเชื้อ HIV หรือป้องกันการติดเชื้อ HIV จากการอยู่ร่วมกับเด็กนั้น ถือได้ว่า เป็นการละเมิดสิทธิเด็กเพราะไม่ได้เกิด ประโยชน์กับเด็กและไม่มีความจำเป็นในการแบ่งแยกเด็ก เนื่องจากไม่มีใครมีโอกาสติดเชื้อ HIV จากการอยู่ร่วมกันกับเด็กที่ติดเชื้อ HIV แต่หากเป็นการตรวจเลือดหาเชื้อ HIV ของเด็กเพื่อการให้การป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส หรือ เพื่อให้ได้รับโอกาสในการรักษาด้วยยาต้านฯก็น่าจะทำเพื่อประโยชน์ของเด็ก
    ระบบภูมิคุ้มกันคืออะไร
    ระบบคุ้มกันคือระบบการทำงานของเม็ดเลือดขาว ที่ทำหน้าที่จดจำและต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันสามารถจดจำเชื้อโรค ทุกชนิด และสร้างสารภูมิคุ้มกัน เฉพาะต่อเชื้อ โรคต่างๆ ที่ร่างกายรับมา ดังนั้นหากร่างกายรับเชื้อโรคเดิมซ้ำ ภูมิคุ้มกันจะกำจัดโรคได้อย่าง รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
    ระบบภูมิคุ้มกันในเด็ก
    ระบบภูมิคุ้มกันจะค่อยๆมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กแรกเกิด และทำงานได้เต็มที่เหมือนผู้ใหญ่เมื่อเด็กมีมีอายุประมาณ 6 ปี ดังนั้นช่วงเด็กอายุต้ำกว่า 6 ปี ระบบภูมิคุ้มกันเด็ก ยังทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ ต่อสู้และควบคุมเชื้อโรคได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่มีผลทำให้มีโอกาสเจ็บป่วยได้ ง่าย กว่าและบ่อยกว่าเด็กโต

    ภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นอย่างไร
    เมื่อเชื้อ HIV ผ่านแม่ไปสู่ลูก การขยายพันธุ์ของเชื้อ HIV ก็เริ่มต้นโดยเชื้อเข้าสู่เซลเม็ดเลือดขาวชนิดที่มีสารบนผิวชื่อ CD4 และแบ่งตัวออก มาจำนวนมาก ปริมาณเชื้อ HIV ในเด็กจะสูง มากเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ และด้วยเชื้อ HIV ที่มีปริมาณมาก เม็ดเลือดขาวก็ถูกทำลายไปมาก ระบบภูมิคุ้มกันก็ถูกทำลายไม่สามารถควบคุมหรือ กำจัดเชื้อโรคต่างๆได้ หรือที่เรียกภาวะนี้ว่าภูมิคุ้มกัน บกพร่องหรือภูมิคุ้มกันต่ำลง ทำให้เกิดความเจ็บป่วย
    การประเมินและแบ่งระดับภูมิคุ้มกันในเด็ก
    การตรวจเลือดเพื่อนับจำนวนเม็ดเลือดขาว หรือ CD4 เป็นการช่วยในการประเมินระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย ดังนี้
    • เด็กที่มี CD4 ประมาณร้อยละ 25 ขึ้นไป แสดงว่ามีภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับปกติ ยังไม่ปรากฏโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
    • เด็กที่มี CD4 อยู่ระหว่างร้อยละ 16-24 แสดงว่าภูมิคุ้มกันต่ำ เริ่มปรากฏความเจ็บป่วย มีโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
    • เด็กที่มี CD4 ต่ำกว่าร้อยละ 15 แสดงว่าภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือภูมิคุ้มกันต่ำมาก เริ่มปรากฏความเจ็บป่วยที่รุนแรงมากขึ้น มีโรคติดเชื้อฉวยโอกาส
    ทำอย่างไรเมื่อเด็กมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
    ภาวะภูมิบกพร่องเราสามารถสังเกตได้จากอาการหรือโรคบางอย่างที่มักปรากฏ ขึ้น ดังนั้นควรคำนึงถึงการป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาส โดยเฉพาะโรคที่พบบ่อยและมีความรุนแรง เช่น วัณโรค ปอดอักเสบพีซีพี นอกจากนี้อาจพิจารณาการรักษาด้วยยาต้าน HIV เพื่อช่วยควบ คุมไม่ให้ปริมาณเชื้อ HIV ในร่ายการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น และส่งผลให้ร่างกาย มีความต้านทานต่อโรคฉวยโอกาส ลดการเจ็บ ป่วย และมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น

    ให้วัคซีนเด็กได้ตามปกติหรือไม่
    เด็กทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณะ สุข ซึ่งถ้าเด็กป่วยต้องชะลอการใช้วัคซีน หรือถ้าเด็กมี อาการบ่งชี้ว่ามีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ให้ปรึกษา แพทย์เพราะต้องระมัดระวังการรับวัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุขอีใส และโปลิโอ เพราะเป็น วัคซีนที่สามารถทำให้เด็กป่วยได้ ในเด็กที่ติดเชื้อ HIV แพทย์อาจแนะนำให้รับวัคซีน เพิ่มเติม ได้แก่ วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ สำหรับเด็ก บางคนที่ได้รับวัคซีนไม่ครบตามกำหนด หรือถูกเลื่อนไปเพราะมีความเจ็บป่วยควรติดตามให้เด็กรับวัคซีนให้ครบตาม มาตรฐาน

    ควรดูแลเรื่องอาหารการกินและสุขอนามัยของเด็กอย่างไร
    เด็กทุกคนต้องการอาหารที่พอเพียงเพื่อการเจริญเติบโต และในภาวะเจ็บป่วยนั้นเด็กต้องใช้พลังงานในการต่อสู้กับโรค รายกายจะต้องการ อาหารมากขึ้น อาหารที่มีประโยชน์ ควรมีสัดส่วนที่สมดุลประกอบด้วย ข้าวและอาหารจำพวกแป้งเป็นพื้นฐานหลัก ลำดับต่อมาได้แก่ ผักผลไม้ และนมถั่วหรือเนื้อสัตว์ และลำดับสุดท้ายที่ร่ายกายต้องการน้อยที่สุดคือ ไขมันและน้ำตาล เด็กที่เจ็บป่วยเรื้อรังมักมีภาวะขาดสารอาหารร่วม ด้วย การช่วยเหลือให้เด็กมีน้ำหนักตัวที่ปกติ จะต้องมีแผนการจัดอาหารที่สอดคล้องกับความต้องการของร่างกาย ในช่วงเวลานั้นๆ เด็กที่มี น้ำหนักลดลง ควรเพิ่มสัดส่วนของอาหารประเภทไขมันให้เด็ก เช่น อาหารประเภทข้าวผัด ผัดไท ผัดชีอิ้ว ไข่เจียว จะช่วยให้เด็ก มีน้ำหนัก เพิ่มขึ้นเร็ว นอกจากนี้ควรให้เด็กได้รับประทานอาหารและน้ำดื่มที่สะอาด ให้เด็กล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังขับถ่ายเสมอ เพื่ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่ายกาย รวมทั้งดูแลปาก และฟันให้สะอาดเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบ และโรคในช่องปาก

    ยาต้านไวรัส HIV คืออะไร
    ยาต้านไวรัส HIV เป็นยาที่ช่วยยับยั้งกระบวนการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส HIV ในร่างกาย ทำให้เชื้อ HIV ในร่างกายมีจำนวนไม่เพิ่มขึ้น ไม่ไปทำลายเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ทำให้ระบบการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 หรือระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ตามปกติสามารถ กำจัดและควบคุมเชื้อโรคต่างๆ หรือต้านทานต่อโรคฉวยโอกาส ลดการเจ็บป่วย

    ทำไมต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส
    ปัจจุบันเรายังไม่มียาที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัส HIV ให้หมดไปจากร่ายกายได้ เป้าหมายการรักษาด้วยยาต้านฯคือ การควบคุมเชื้อไวรัส HIV ให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดนานที่สุด การมีเชื้อไวรัส HIV ในปริมาณน้อยๆ ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กได้พัฒนาต่อไปสมองและอวัยวะต่างๆ ไม่ถูกรบกวนจากเชื้อไวรัส HIV มีภาวะแทรกซ้อนและโรคติดเชื้อฉวย โอกาสลดลง เด็กสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้เต็มที่
    ยาต้านฯ ของเด็กและผู้ใหญ่ต่างกันหรือไม่
    ยาต้านฯของเด็กและผู้ใหญ่ไม่มีความแตกต่างกัน เพียงแต่เด็กกินยาในปริมาณที่น้อยกว่าตามน้ำหนักของร่างกาย และเด็กเล็กบางคนที่กินยาเม็ดยังไม่ได้ จะมียาบางชนิดผลิตในรูปยาน้ำ
    หัวใจสำคัญของการรักษาด้วยยาต้านไวรัส
    • การเลือกสูตรยาอย่างเหมาะสมกับสภาพร่างการ
    • ต้องกินยาอย่างถูกต้อง ตรงเวลาและต่อเนื่องทุกวันเพื่อรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่ตลอดเวลาเพื่อ ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส HIV
    • ต้องดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องเพราะยาต้านไวรัส อาจมีผลข้างเคียงหรือผลกระทบต่อร่างกาย
    • ผู้ดูแลเด็กต้องให้ความร่วมมือในการรักษา

    เมื่อไรเด็กจึงควรเริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัส
    ควรเริ่มยาต้านไวรัส เมื่อเด็กมีระดับภูมิคุ้มกันหรือ CD4 ต่ำกว่าร้อยละ 20 หรือมีอาการของโรคแทรกซ้อนฉวยโอกาส ปัจจุบันการให้การ รักษาด้วยยาต้านไวรัสสำหรับเด็ก เป็น นโยบายของรัฐ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ติดเชื้อ HIV และจัดให้มียาตต้านไวรัส ไว้ให้บริการ ในโรงพยาบาลต่างๆ ครอบคุมทั่วประเทศแล้ว โดยเริ่มที่โรงพยาบาลในระดับจังหวัด
    ยาต้านไวรัสมีชนิดไหนบ้าง
    ยาต้านไวรัสในปัจจุบันมีอยู่มากกว่า 20 ชนิด โดยแต่ละชนิดทำหน้าที่ในการขัดขวางกระบวนการเพิ่มจำนวนของไวรัศในแต่ละขั้น ตอนแตกต่างกันไป โดยจัดได้เป็น 3 กลุ่มคือ
    • กลุ่มเอ็นอาร์ทีไอ (NRTI) เช่น เอแซดที(ANT) , ดีดีไอ(DDI) , ดีโฟร์ที(D4T) , สามทีชี(3TC) , อะบาคาเวียร์(ABC-Abacavir)
    • กลุ่มเอ็นเอ็นอาร์ทีไอ(NNRTI) เช่น เนวิราปีน(Nevirapine) , เอฟฟาไวเรนซ์(Efavirenz)
    • กลุ่มพีไอ(PI) เช่น ซาควินาเวียร์(Saquinavir) , อินดินาเวียร์(Indinavir) , ริโทนาเวียร์(Ritonavir) , เนลฟินาเวียร์(Nelfinavir) , โลพินาเวียร์(Lopinzvir)
    สูตรยาต้านไวรัส
    • ปัจจุบันมีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า สูตรยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อ HIV ต้องประกอบด้วยยาต้านไวรัส 3 ชนิดรวมกัน และเป็นยาจากกลุ่มยาอย่างน้อย 2 กลุ่มเช่น ยาจีพีโอเวียร์ ซึ่งผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมของไทย ประกอบด้วย ดีโฟว์ที 3 ทีซี และเนวิราปิน
    • หากเด็กกำลังรักษาด้วยยาต้านไวรัส 2 ชนิด เด็กสามารถกินยาต่อได้ หากระดับ CD4 และปริมาณของไวรัสคงที่ ไม่มีโรคฉวยโอกาส
    • ยาต้านไวรัสที่ไม่ใช้คู่กับยารักษาโรคฉวยโอกาสบางตัว เพราะจะล้างฤทธิ์กัน ได้แก่ยาไรแฟม รักษาวัณโรค ไม่ใช้คู่กับ เนวิราปิน และ อินดินาเวียร์ ก่อนเริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสหากตรวจพบว่าเด็กป่วยเป็นวัณโรคและประเมิน แล้วว่าเด็กไม่สามารถกินยาปริมาณมากได้ ควรรักษาวัณโรคไปก่อนจนกว่าจะลดยาวัณโรคได้และค่อยๆเตรียมเด็กกินยาต้าน ไวรัสต่อไป
    • ไม่ควรลด ปรับ หรือหยุดยาต้านไวรัส จนกว่าจะได้ปรึกษาแพทย์

    อาการข้างเคียงและการแพ้ยาต้านไวรัสเป็นอย่างไร
    อาการแพ้ยา
    อาการแพ้ยาเป็นปฏิกริยาที่ร่างกายปฏิเสธยา โดยอาการแสดงมีตั้งแต่น้อยๆไปจนถึงอาการรุนแรง อาการแพ้ที่พบได้บ่อยคืน ผื่นแพ้ยา แบบ ลมพิษ ไข้ ปากบวมพอง มีตุ่มน้ำเกิดขึ้นตาม เยื่อบุในปาก เด็กที่รักษาด้วยยาต้านไวรัส มีโอกาสเกิดอาการ แพ้ยาได้ไม่ว่า จะเป็นระยะ แรกของ การกินยาหรือกินยาไประยะหนึ่ง
    ทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการแพ้ยา
    • หากมีผื่นทั่วตัว มีไข้ขึ้นสูงหรือเกิดตุ่ม ที่มีน้ำขังอยู่ภายในและ/ หรือมีเจ็บปากเจ็บตาร่วมด้วย ไม่ว่าจะกี่ตุ่มก็ตาม ให้หยุดยาทุกชนิดและรีบไปพบแพทย์พร้อมนำยาไปด้วย
    • ดื่มน้ำมากๆ เพื่อไล่ยา
    อาการข้างเคียง
    อาการข้างเคียงเป็นอาการที่ยาไปมีผลกระทบต่ออวัยวะร่างกาย แบ่งเป็นสองลักษณะคือ
    • อาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรงสามารถดูแลบรรเทาอาการได้ เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน มึนงง ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1-2 เดือนอาการเหล่านี้จะค่อยดีขึ้นและหายไป
    • อาการที่รุนแรง ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้ เช่น ตับอักเสบ ซีด ตับอ่อนอักเสบ ปลายประสาทอักเสบ
    การรักษาด้วยยาต้านไวรัส ที่ได้ผลเป็นอย่างไร • เด็กกินอาหารได้ดี มีน้ำหนักตัวและความสูงเพิ่มขึ้น
    • โรคฉวยโอกาสต่างๆ ลดลงหรือไม่มีหลังการรักษาไปแล้ว 6 เดือน
    • จำนวน CD4 เพิ่มขึ้น
    • จำนวนไวรัสโหลดลดลงหรือตรวจไม่พบหลังกินยาไปแล้ว 6 เดือน
    สำหรับเด็กบางรายที่เริ่มยาต้านไวรัส เมื่อระดับ CD4 ต่ำ และมีโรคแทรกระหว่างที่กำลังกินยา น้ำหนัก ส่วนสูงและCD4 อาจจะยังไม่เพิ่มขึ้นในระยะแรก

    ทำอย่างไรเมื่อการรักษาด้วยยาต้านไวรัสไม่ได้ผล
    หากพบว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ไม่ได้ผล เชื้อดื้อยา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุปัญหาและหาแนวทางแก้ไข ปัญหาก่อนเริ่มรักษาด้วยยาสูตรใหม่ ทั้งนี้ยาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ถ้าดื้อยาตัวหนึ่ง มักจะดื้อกับอีกตัวหนึ่งด้วย

    ข้อมูลจาก : – เอกสารของกลุ่มเราเข้าใจ มูลนิธิเอดส์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV /เอดส์ ประเทศไทย

  8. xxx เอดส์ การติดต่อ และ ไม่ติดต่อ xxx
    1. โรคเอดส์ติดต่อกันได้ทางใด
    การติดเชื้อเอดส์โดยหลักใหญ่ๆ มีเพียง 2 ทาง นั้นคือ
    1.1 ทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจเป็นการรักร่วมเพศหรือรักต่างเพศ

    1.2 ทางเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยา กระบอกฉีดยาที่ไม่สะอาดร่วมกัน การมีบาดแผลแล้วไปสัมผัสกับเลือดหรือน้ำเหลืองของคนไข้ที่มีเชื้อเอดส์อยู่ เช่น การใช้ของมีคม มีดโกน เข็มสักผิวหนัง เข็มเจาะหูร่วมกัน เป็นต้น และมารดาที่มีเชื้อเอดส์ก็สามารถถ่ายทอดเชื้อเอดส์ไปสู่ทารกในครรภ์ได้

    2. โรคเอดส์ติดต่อโดยวิธีใดได้บ้าง
    นอกจากจะติดต่อทางเพศสัมพันธ์และทางเลือดแล้ว ยังสามารถติดต่อทางอื่นได้อีก แต่ต้องมีปัจจัยทางอื่นประกอบด้วย เช่น

    – ร้านเสริมสวยและการศัลยกรรมตกแต่งซึ่งกระทำโดยที่มิได้ทำความสะอาดเครื่องมือก่อนนำไปใช้ ต่อ เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ การเจาะหู การสักยันต์ การเสริมจมูก ฯลฯ

    – การผ่าตัดเปลี่ยนเนื้อเยื่อและอวัยวะ เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนไต ปลูกถ่ายไขกระดูก ฯลฯ โดยมิได้ตรวจหาเชื้อเอดส์เสียก่อน

    – การผสมเทียมที่ใช้อาสุจิจากผู้มาบริจาคโดยมิได้ตรวจหาเชื้อเอดส์เสียก่อน

    – การชกต่อยแล้วมีเลือดออก โดยที่เลือดของผู้มีเชื้อเอดส์ไปถูกกับบาดแผล หรือเยื่อบุนัยน์ตาของฝ่ายตรงข้าม

    – การเลี้ยงนมบุตรด้วยน้ำนมของผู้อื่น หรือมารดาที่มีเชื้อเอดส์

    วิธีต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ความจริงแล้วก็คือติดต่อโดยการสัมผัสกับน้ำอสุจิ เลือด น้ำเหลือง และน้ำนมของผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยตรงนั้นเอง และจะต้องมีบาดแผล และปริมาณเลือด หรือน้ำเหลืองที่เข้าในร่างกายมากพอสมควรจึงมีโอกาสติดได้

    3. เชื้อเอดส์ เมื่ออยู่ในและนอกร่างกายคนเราแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร
    เชื้อเอดส์เมื่อเข้าสู่ร่างกายคนจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปจนผู้นั้นเสียชีวิต แต่เมื่อเชื้อเอดส์ออกมานอกร่างกายถึงแม้จะไม่ถูกกำจัดด้วยยาฆ่าเชื้อใด ๆ ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน โดยเชื้อเอดส์จะค่อยๆ ตายไปจนหมดในไม่กี่ชั่วโมง หรือเป็นวันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมภายนอก หากถูกกับความร้อน ความแห้ง ความเป็นกรด เป็นด่าง แสงแดด เชื้อก็จะตายเร็วขึ้น แต่ถ้าอยู่ในอุณหภูมิ และความชื้นพอเหมาะเช่น อยู่ในห้องแอร์เปิดติดต่อกันตลอดเวลา เชื้อก็อาจจะอยู่ได้เป็นวัน แต่ต้องอยู่ในสภาพที่ยังเป็นของเหลว เช่น อยู่ในเลือดหรือในน้ำอสุจิ แต่ถ้าแห้งแล้วเชื้อก็จะตายไป

    4. ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อเอดส์มีอะไรบ้าง
    ปัจจัยที่ทำให้ติดเชื้อได้แก่
    – ปริมาณไวรัส (virus titre) ขึ้นอยู่กับสิ่งที่สัมผัสว่ามีปริมาณไวรัสมากหรือน้อย ปริมาณไวรัสจะมีมากที่สุดในเลือดรองลงมาได้แก่ น้ำอสุจิ น้ำจากช่องคลอด ส่วนในน้ำลาย น้ำตา น้ำนมและปัสสาวะ จะมีปริมาณน้อยมาก ดังนั้นถ้าไปสัมผัสเลือด น้ำอสุจิ และน้ำจากช่องคลอด จะมีโอกาสติดเชื้อมากกว่าไปสัมผัสกับของเหลวอื่นๆ

    – การมีบาดแผล(TRAUMA)บริเวณที่มีแผลหรือรอยแตก หรือเยื่อบุในปากในตา เยื่อบุในช่องคลอด อาจมีแผลที่มองไม่เห็น ต้องระวังอย่าให้เชื้อเอดส์เข้าตา ปาก หรือสัมผัสช่องคลอด

    – การติดเชื้ออื่นๆ(secondary infection) ได้แก่ การเป็นกามโรคชนิดที่เป็นแผล จะทำให้เชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ทำให้มีโอกาสติดได้มากขึ้น

    – พื้นผิวที่สัมผัสกับเชื้อ(epithelial receptors) หมายถึงว่าเซลล์ที่ไปสัมผัสกับเชื้อจะต้องมีพื้นผิว(receptors)ที่สามารถรับ เชื้อเข้าสู่เซลล์นั้นได้ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งมีพื้นผิวมากก็จะมีโอกาสติดมาก

    – ความบ่อยหรือถี่ของการสัมผัส(intensity of exposure) เช่น การมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้ติดเชื้อเอดส์

    – ระยะที่เข้าไปสัมผัสเชื้อ(phase of infection) หมายถึงระยะเวลาที่ไปสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ ขณะที่ร่างกายเจ็บป่วยอ่อนแอจากโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ เช่น เป็นไข้หวัดอยู่จะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง

    5. พฤติกรรมอย่างไรที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์
    ทุกคนย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะติดเชื้อเอดส์หากไม่รู้จักระวังป้องกัน แต่บางคนมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าผู้อื่น คนเหล่านี้ได้แก่

    – ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน เพราะไม่สามารถทราบได้ว่าคู่นอนคนใดมีเชื้อเอดส์หรือไม่

    – ผู้ที่ติดเชื้อกามโรค และยังมีเพศสัมพันธ์บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคู่นอนหลายคน ทำให้เชื้อเอดส์เข้าทางบาดแผลจากกามโรคได้ง่ายกว่าปกติ

    – ผู้ที่ใช้เข็มฉีดยา กระบอกฉีดยาที่ไม่สะอาดร่วมกับผู้อื่น จะติดเชื้อได้ถ้าเข็มหรือกระบอกฉีดยาเปื้อนเชื้อเอดส์มาก่อน

    6. การมีเพศสัมพันธ์กับกับผู้ติดเชื้อเอดส์ด้วยมือ และสัมผัสน้ำคัดหลั่ง จะมีโอกาสติดเชื้อเอดส์หรือไม่
    การมีเพศสัมพันธ์ด้วยการใช้มือ และสัมผัสน้ำคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อนั้นถ้ามือไม่มีบาดแผลอยู่ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ แต่ถ้ามือมีบาดแผลแล้วไปสัมผัสกับน้ำคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด หรือเลือดของผู้ติดเชื้อเอดส์ก็มีโอกาสติดได้

    ึึ7. การร่วมเพศทางทวารหนักจะมีโอกาสติดเชื้อเอดส์มากกว่าการร่วมเพศทางช่องคลอดมากน้อย เพียงใด
    โอกาสของการติดเชื้อจากการร่วมเพศทางทวารหนักและช่องคลอดนั้นปัจจุบันพบว่าการร่วมเพศทั้งสองอย่างมีโอกาสติดเชื้อเอดส์ได้พอๆกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากจะมีกิจกรรมทางเพศควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่ว่ากับชายหรือหญิงก็ตาม

    8 ถ้าคุณไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง จะไม่มีโอกาสติดเชื้อเอดส์ใช่หรือไม่
    ไม่ใช่ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงก็ไม่อาจจะเป็นหลักประกนได้ว่าจะไม่ติดเชื้อเอดส์ ฉะนั้น เราควรจะป้องกันตนเองไว้ก่อน โดยการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ และช่วยเผยแพร่ความรู้ให้คนรอบข้างรู้วิธีหลีกเลี่ยงการติดเชื้อเอดส์ด้วย

    9. อัตราการเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ในแต่ละกลุ่ม หรือสังคมแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
    นอกจากพฤติกรรมส่วนตัวแล้ว อัตราเสี่ยง จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสังคมถ้าเป็นบุคคลที่อยู่ในสังคมที่มีโรคชุกชุม เช่น ในสหรัฐอเมริกา
    บราซิล ยูกันดา ฝรั่งเศส เป็นต้น บุคคลที่อยู่ในสังคมนั้นก็จะมีอัตราการเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าสังคมที่ มีผู้ติดเชื้อเอดส์น้อย
    ที่มา http://www.bkps.ac.th/b01_aids/AIDS/aids04.htm

  9. xxx เอดส์ อย่างนี้…จะติดเอดส์ไหม xxx
    เชื้อเอดส์ร้ายก็จริงแต่ใจเสาะ ไม่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมภายนอกได้
    เชื้อเอดส์พบได้ที่ไหนบ้าง
    น้ำทุกชนิดที่ออกจากร่างกายมีเชื้อเอดส์ทั้งนั้นมากบ้างน้อยบ้าง
    ที่มีมาก : เลือด, น้ำอสุจิ, น้ำจากช่องคลอด, ตกขาว,น้ำจากเลือดประจำเดือน, น้ำนมแม่
    ที่มีน้อย : น้ำตา, น้ำลาย, น้ำมูก, เสมหะ
    แทบจะไม่มี : อุจจาระ, ปัสสาวะ, เหงื่อ

    ทำไมน้ำหลั่งต่างๆ จึงมีปริมาณไวรัสไม่เท่ากัน
    ไวรัสมันชอบเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดเพื่อแบ่งตัวและเจริญเติบโต ดังนั้นน้ำใดที่มีเม็ดเลือดขาวหรือเลือดเข้าไปเกี่ยวข้องจึงมีเชื้อไวรัสมาก เช่น เลือด, น้ำจากช่องคลอด, ตกขาว, ประจำเดือน น้ำหนอง น้ำใดที่ไม่มีเลือด หรือเม็ดเลือดขาวปะปนก็มีปริมาณไวรัสน้อย เช่น ปัสสาวะ, อุจจาระ, เหงื่อ เป็นต้น

    เชื้อเอดส์อยู่นอกร่างกาย อยู่ได้นานแค่ไหน
    เชื้อเอดส์ร้ายก็จริง แต่ใจเสาะครับ ไม่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมภายนอกได้ โดยทั่วไปมันจะอยู่ได้เป็นชั่วโมงหรือแค่ไม่เกินวัน ทั้งนี้อยู่ที่สิ่งแวดล้อม ถ้าถูกความร้อน ความแห้ง กรดด่าง หรือแสงแดด ก็หงิกแล้ว แต่ถ้าได้ที่เหมาะๆ มีความชื้นดีๆ หรือห้องแอร์ที่เย็นเจี๊ยบ (ราวๆ 20 องศาเซลเซียส) ก็อาจอยู่ได้หลายวัน แต่ไม่ถึงสัปดาห์
    อ่านต่อได้ที่นี่
    http://www.clinicrak.com/std/std_aids13.html

    สมุนไพรรักษาโรคเอดส์
    ปัจจุบันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับการรักษาผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยการใช้ยาต้านไวรัสแต่เพียงอย่างเดียว เพราะยาต้านไวรัสมี ทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวของมัน

    1. ข้อดี โดยการใช้สูตรยา HAART เป็นการใช้ยา 3 ตัวขึ้นไปคนไข้ที่ได้รับยาสูตรนี้ภายในระยะเวลา 4-6 เดือนเชื้อไวรัสจะลดลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกัน CD4 เกิดการเพิ่มขึ้น

    2. ข้อเสีย คือ อาจจะก็ให้เกิดภาวะผิดปกติ ร่วมทั้งกลุ่มอาการ ( Syndrom ) ที่สืบเนื่องจากการใช้ยาต้านไวรัส เช่น ตับอักเสบ ,ไขมันในเส้นเลือดสูง , เป็นเบาหวาน , โรคไต ปลายประสาทอักเสบ, มีอาการปวดเมื่อยตามข้อตามตัว, มีผื่นขึ้นตามตัว เกิดภาวะไขมันเคลื่อนย้าย , แก้มตอบ , แขนขาลีบ , พุงโต

    ด้วยเหตุผลนี้แนวคิดในการรักษา โดยการใช้ยาต้านไวรัสแต่เพียงอย่างเดียวได้เปลี่ยนไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้วิธีรักษาที่สมบูรณ์แบบ 2 ทางที่เรียกว่า Complementary treatment หมายถึงการรักษา ระหว่างแพทย์แผนปัจจุบัน ควบคู่ไปกับแพทย์ทางเลือก Alternative medicine โดยมีหลักการดังต่อไปนี้

    1.จะใช้ยาต้านไวรัสเพื่อลดจำนวนเชื้อไวรัส จนไม่สามารถ ตรวจพบได้ ( ปริมาณไวรัสต่ำกว่า 50 ตัว ต่อ ลบ.มม.)

    2.จะใช้วิธีป้องกันข้อเสียของยาต้านไวรัส โดยการซ่อมสร้างร่างกายโดยใช้วิธีที่เรียกกันว่าแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine)

    เช่นการใช้ยาสมุนไพรแบบสกัดที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เชื่อได้ว่า มีฤทธิ์ในการปกป้อง ซ่อมสร้างร่างกาย เช่น ปกป้องตับ โดยการใช้ สมุนไพรเห็ดหลินจือชะเอมเทศ, ลูกใต้ใบ, ฟ้าทะลายโจร, มะระขี้นกก็ยังมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย การใช้วิตามินC วิตามิน B6 วิตามินรวมเกลื่อแร่ การใช้น้ำมันปลาในกลุ่มโอเก้า3 ป้องกันไขมันในเส้นเลือดสูง การใช้ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารบางชนิดช่วยด้วยสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น สามารถช่วยปกป้องผลข้างเคียง ที่เกิดจากยาต้านไวรัส และต้องคอยเฝ้าระวังเจาะเลือดตรวจตับ ตรวจไต ตรวจไขมันในเส้นเลือด ตรวจน้ำตาลใน เลือดทุก 3 เดือนหรือเจาะเลือดตรวจทันที ที่สงสัยว่าอาจจะมีผลข้างเคียงที่สืบเนื่องมาจากการใช้ยาต้านไวรัส

    จากแนวคิดการรักษาโดย การใช้ยาต้านไวรัส ควบคู่กันไปกับการซ่อมสร้างร่างกาย Complementary treatment ดังกล่าว ซึ่งวิธีการนี้มันก็เหมือนกับการรักษาคนไข้ที่เป็นวัณโรค เช่นถ้าแพทย์ที่รักษาให้แต่ยารักษาวัณโรคอย่างเดียวโดยที่ไม่ฟื้นฟูสุขภาพร่างกายของคนไข้ควบคู่ร่วมไปด้วย เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า คนไข้มักจะโซมผอมแห้ง มาก เพราะฉะนั้นการรักษาคนไข้ HIV จึงควรรักษา 2 ทางควบคู่กันไป จะได้ผลที่ดีกว่า การให้แต่ยาต้านไวรัสเพียงด้านเดียว
    อ่านต่อได้ที่นี่
    http://www.boonmeeherb.com/

    เอดส์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    เอดส์ หรือ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม (Acquired Immune Deficiency Syndrome – AIDS) เป็นกลุ่มอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ที่เป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทำให้การติดเชื้อโรคได้ฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรคในปอด หรือต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา โรคผิวหนังบางชนิด หรือเป็นมะเร็งบาง ชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ ซึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตมักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้อาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

    ปัจจุบันเอดส์มีการตรวจพบทั่วโลก และประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ อย่างน้อย 25 ล้านคน ตั้งแต่ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) นับเป็นโรคที่มีอันตรายสูงโรคหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ในปี พ.ศ. 2548 ประมาณการว่ามีผู้ติดเอดส์ประมาณ 3.1 ล้านคน (ระหว่าง 2.8 – 3.6 ล้าน) ซึ่ง 570,000 คนของผู้ป่วยเอดส์เป็นเด็ก (UNAIDS, 2005)

    อ่านต่อได้ที่นี่
    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C

    เอดส์ คืออะไร จากthaiall.com
    เอดส์ หรือ AIDS (Acquired Immune Deficiency Syndrome) เป็นกลุ่มอาการของโรค ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือกขาว ซึ่งเป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ติดเชื้อโรคอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการจะรุนแรง และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต
    อ่านต่อได้ที่นี่
    http://www.thaiall.com/aids/

    โรคเอดส์ AIDS เอดส์ การป้องกันโรคเอดส์ เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ต้องยอมรับว่า หนึ่งในโรคติดต่อที่คนรู้จักความน่ากลัวของมันเป็นอย่างดี ก็คือ ” โรคเอดส์ ” และรู้กันดีว่า ” โรคเอดส์ ” เป็นโรคร้ายแรงที่ยังไม่มีตัวยาใดมารักษาให้หายขาดได้ อีกทั้งยังพบผู้ติดเชื้อ เอดส์ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นจึงทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดเอาวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปีเป็น วันเอดส์โลก เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงอันตรายจาก โรคเอดส์ นั่นเอง และวันนี้กระปุกดอทคอม ก็ได้นำความรู้เกี่ยวกับเรื่อง โรคเอดส์ มาบอกต่อกัน ด้วยค่ะ

    โรคเอดส์ คืออะไร
    โรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสมีชื่อว่า ฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเซียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus :HIV) หรือเรียกย่อๆ ว่า เชื้อเอชไอวี โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้ม กันโรค ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้อีก โรคต่างๆ (หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า โรคฉวยโอกาส) จึงเข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย เช่น วัณโรค ปอดบวม ติดเชื้อในระบบโลหิต เชื้อรา ฯลฯ และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
    อ่านต่อได้ที่นี่
    http://health.kapook.com/view2757.html

    โรคเอดส์ ความรู้เรื่องโรคเอดส์
    เอดส์หรือโรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส

    องค์การอนามัยโลกได้นิยามการวินิจฉัยโรคเอดส์ใหม ่เพื่อประโยชน์ในการวินิจฉัยและการรักษา

    การวินิจฉัยผู้ที่ติดโรคเอดส์ในผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปีซึ่งต้องมีเกณฑ์ดังนี้
    * ตรวจเลือดพบภูมิ antibody ต่อเชื้อโรคเอดส์สองครั้งด้วยวิธีที่ต่างกัน และหรือ
    * การตรวจพบเชื้อโรคเอดส์ในเลือด (HIV-RNA or HIV-DNA) และต้องมีการตรวจยืนยันอีกครั้ง

    สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า18ปี การวินิจฉัยโรคเอดส์มีเกณฑ์ดังนี้
    * การตรวจพบเชื้อโรคเอดส์ในเลือด (HIV-RNA or HIV-DNA) และต้องมีการตรวจยืนยันอีกครั้ง จะไม่ใช้การตรวจภูมิมายืนยันการวินิจฉัยโรค
    อ่านต่อได้ที่นี่
    http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/HIV/INDEX.htm

Leave a Reply